การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบกรองน้ำต่างๆจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองได้อย่างชัดเจน
ซึ่งเราสามารถพิจารณาได้จากหลายปัจจัย เช่น ประสิทธิภาพในการกรอง,
ค่าใช้จ่าย,การบำรุงรักษา,และข้อดีข้อเสียเฉพาะของแต่ละระบบ
ตัวอย่างของระบบกรองน้ำที่นิยมใช้ ได้แก่
1. Reverse Osmosis (RO)
- ประสิทธิภาพในการกรอง:
RO เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงในการกรองสิ่งสกปรกและสารละลายต่าง ๆ เช่น โลหะหนัก, สารเคมี, และแบคทีเรีย โดยสามารถกรองได้ถึงระดับโมเลกุล
- ข้อดี:
- สามารถผลิตน้ำที่บริสุทธิ์สูงและลดความกระด้างของน้ำได้
- เหมาะสำหรับการใช้ในบ้าน, โรงงาน, และสถานที่ที่ต้องการน้ำที่สะอาดมาก
- ข้อเสีย:
- อัตราการสูญเสียน้ำสูง (ต้องทิ้งน้ำบางส่วน)
- ต้องมีการบำรุงรักษาและเปลี่ยนไส้กรองเป็นประจำ
- ค่าใช้จ่าย:
ค่อนข้างสูง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการบำรุงรักษา
2. Deionization (DI)
- ประสิทธิภาพในการกรอง:
DI ใช้เรซินเพื่อกรองไอออนจากน้ำ ทำให้น้ำที่ได้มีค่าความต้านทานไฟฟ้าสูง (ความบริสุทธิ์สูงมาก)
- ข้อดี:
- สามารถผลิตน้ำที่บริสุทธิ์สูงมาก เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่ต้องการน้ำที่ปราศจากไอออน
- ไม่มีการสูญเสียน้ำ
- ข้อเสีย:
- เรซินมีอายุการใช้งานสั้น ต้องมีการบำรุงรักษาและเปลี่ยนเรซินเป็นประจำ
- ไม่สามารถกรองสิ่งสกปรกทั่วไปหรือสารเคมีที่ไม่ได้อยู่ในรูปของไอออนได้
- ค่าใช้จ่าย:
สูง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซื้อเรซินใหม่และการบำรุงรักษา
3. Ultraviolet (UV)
- ประสิทธิภาพในการกรอง:
UV ใช้แสงอัลตราไวโอเลตเพื่อฆ่าเชื้อโรค, แบคทีเรีย, และไวรัสในน้ำ แต่ไม่สามารถกรองสารละลายหรือสารเคมี
- ข้อดี:
- สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ใช้สารเคมี
- ติดตั้งและบำรุงรักษาง่าย
- ข้อเสีย:
- ไม่สามารถกรองสารเคมีหรือสิ่งสกปรกได้ ต้องใช้ร่วมกับระบบกรองอื่น
- ประสิทธิภาพลดลงหากน้ำมีความขุ่นหรือสารแขวนลอยสูง
- ค่าใช้จ่าย:
ปานกลาง ค่าใช้จ่ายหลักอยู่ที่การเปลี่ยนหลอด UV
4. Carbon Filtration
- ประสิทธิภาพในการกรอง:
การกรองด้วยคาร์บอนเหมาะสำหรับการกำจัดคลอรีน, กลิ่น, รสชาติที่ไม่พึงประสงค์ และสารอินทรีย์ที่ละลายในน้ำ
- ข้อดี:
- สามารถกำจัดสารเคมีที่มีอนุภาคใหญ่ได้ดี
- ติดตั้งและบำรุงรักษาง่าย
- ข้อเสีย:
- ไม่สามารถกรองแบคทีเรียหรือไวรัสได้
- ต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อยเมื่อใช้ในปริมาณมาก
- ค่าใช้จ่าย:
ต่ำถึงปานกลาง ค่าใช้จ่ายหลักคือการเปลี่ยนไส้กรอง
5. Ultrafiltration (UF)
- ประสิทธิภาพในการกรอง:
UF ใช้เมมเบรนเพื่อกรองสิ่งสกปรกและสารแขวนลอย โดยมีความละเอียดในการกรองต่ำกว่า RO แต่สูงกว่า MF
- ข้อดี:
- สามารถกรองสารแขวนลอย, แบคทีเรีย, และไวรัสได้
- ประหยัดน้ำมากกว่า RO เพราะไม่ต้องทิ้งน้ำ
- ข้อเสีย:
- ไม่สามารถกรองสารเคมีหรือสารละลายได้
- ความบริสุทธิ์ของน้ำไม่สูงเท่า RO
- ค่าใช้จ่าย:
ปานกลาง ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษาต่ำกว่า RO
สรุป
การเลือกใช้ระบบกรองน้ำควรพิจารณาจากความต้องการในการใช้งาน เช่น หากต้องการน้ำที่มีความบริสุทธิ์สูงและเหมาะกับอุตสาหกรรม ควรเลือก RO หรือ DI แต่หากเน้นการใช้งานที่บ้านและต้องการกรองสิ่งสกปรกพื้นฐาน UF หรือ Carbon Filtration อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า