การควบคุมน้ำทิ้งจากโรงงานให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
เป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อม
และป้องกันการปนเปื้อน
ของแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงการปฏิบัติตาม
ข้อกำหนดทางกฎหมาย
ซึ่งสามารถทำได้ผ่านขั้นตอนและวิธีการดังต่อไปนี้
1. การตรวจสอบและวิเคราะห์น้ำทิ้ง (Monitoring and Testing Wastewater)
- ทดสอบคุณภาพน้ำทิ้งเป็นประจำ: ตรวจวัดค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ เช่น ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH), ความต้องการออกซิเจนทางชีวภาพ (BOD), ความต้องการออกซิเจนทางเคมี (COD), ของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด (TDS), ของแข็งที่แขวนลอย (TSS), สารโลหะหนัก (เช่น ปรอท, ตะกั่ว, สังกะสี), สารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) ฯลฯ การทดสอบเป็นประจำจะช่วยให้ทราบถึงสถานะของน้ำทิ้งและสามารถทำการปรับปรุงได้ทันท่วงที
- การเก็บตัวอย่างน้ำทิ้ง: ควรเก็บตัวอย่างน้ำทิ้งที่จุดต่าง ๆ อย่างถูกต้องและตามมาตรฐานวิธีการ เพื่อให้ผลการวิเคราะห์มีความน่าเชื่อถือและแม่นยำ
2. การบำบัดน้ำทิ้ง (Wastewater Treatment)
- การบำบัดขั้นต้น (Primary Treatment): ใช้กระบวนการเชิงกายภาพ เช่น การตกตะกอน, การกรอง, การแยกไขมันและน้ำมันออกจากน้ำทิ้ง เพื่อกำจัดของแข็งที่แขวนลอยและสิ่งสกปรกขนาดใหญ่
- การบำบัดขั้นที่สอง (Secondary Treatment): ใช้กระบวนการทางชีวภาพ เช่น การใช้แบคทีเรียหรือจุลินทรีย์เพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำทิ้ง ลดค่าความต้องการออกซิเจน (BOD) และสารอินทรีย์อื่น ๆ
- การบำบัดขั้นสูง (Tertiary Treatment): การใช้กระบวนการทางเคมี เช่น การตกตะกอนทางเคมี การกรองผ่านถ่านกัมมันต์ หรือการใช้คลอรีนหรือรังสี UV ในการฆ่าเชื้อโรค เพื่อกำจัดสารเคมีที่เป็นพิษ, โลหะหนัก, หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในน้ำทิ้ง
3. การบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำทิ้ง (Maintenance of Wastewater Treatment Systems)
- ตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องจักร: ทำการตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์และเครื่องจักรที่ใช้ในระบบบำบัดน้ำทิ้งอย่างสม่ำเสมอ เช่น ปั๊มน้ำ, ระบบกรอง, เครื่องเติมอากาศ, เครื่องวัดค่า pH เป็นต้น
- การอบรมพนักงาน: จัดอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ รวมถึงมาตรการควบคุมน้ำทิ้งให้สอดคล้องกับกฎหมาย
4. การจัดการและควบคุมการปล่อยน้ำทิ้ง (Discharge Management and Control)
- ติดตั้งระบบการควบคุมการปล่อยน้ำทิ้ง: ควบคุมการปล่อยน้ำทิ้งให้อยู่ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด เช่น การควบคุมการไหลออกของน้ำทิ้งให้อยู่ในปริมาณที่อนุญาต
- จัดทำแผนการจัดการน้ำทิ้ง: จัดทำแผนการจัดการน้ำทิ้งที่ชัดเจนและครอบคลุมทุกกระบวนการ ตั้งแต่การผลิตจนถึงการบำบัด เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำทิ้งที่ปล่อยออกไปมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด
5. การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนด (Compliance with Laws and Regulations)
- ทำความเข้าใจและติดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ทราบและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำทิ้ง เช่น กฎหมายควบคุมมลพิษ, กฎกระทรวงเกี่ยวกับคุณภาพน้ำทิ้ง, ข้อกำหนดของหน่วยงานควบคุมสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
- รายงานผลการตรวจสอบและการบำบัด: จัดทำรายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งและกระบวนการบำบัดให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อกำหนดอย่างสม่ำเสมอ เช่น การยื่นรายงานต่อกรมควบคุมมลพิษหรือหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแล
6. การลดปริมาณน้ำทิ้ง (Reducing Wastewater Volume)
- การใช้เทคโนโลยีที่ประหยัดน้ำ: ใช้เทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่ลดการใช้น้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในโรงงาน เช่น การรีไซเคิลน้ำ, การใช้ระบบหมุนเวียนน้ำ, การใช้ระบบระเหยน้ำ ฯลฯ
- การลดแหล่งมลพิษที่ต้นทาง: ควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษภายในกระบวนการผลิต เพื่อให้ปริมาณและความเข้มข้นของสารปนเปื้อนในน้ำทิ้งลดลงตั้งแต่ต้นทาง
7. การเตรียมแผนฉุกเฉิน (Emergency Preparedness)
- เตรียมแผนฉุกเฉินสำหรับกรณีเกิดอุบัติเหตุ: จัดทำแผนฉุกเฉินในการจัดการน้ำทิ้งกรณีเกิดการรั่วไหลหรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้เกิดการปนเปื้อน
- ฝึกซ้อมแผนฉุกเฉิน: ฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินเป็นประจำ เพื่อให้พนักงานรู้วิธีการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น
สรุป:
การควบคุมน้ำทิ้งจากโรงงานให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนดจำเป็นต้องมีการตรวจสอบ วิเคราะห์ บำบัด และจัดการอย่างเข้มงวดในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และพัฒนาแผนการจัดการที่เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชน