การดื่มน้ำขวด
จำนวนน้ำขวดในที่นี้ เราจะคำนวณโดยอิงจากปริมาณน้ำที่ร่างกายของคนเราต้องการต่อวัน ซึ่งก็คือประมาณ 1.5 ลิตร หรือ 1 น้ำขวดใหญ่นั่นเอง และน้ำ 1 ขวดใหญ่ จะบรรจุมาเป็นแพ็คมาให้ แพ็คละ 6 ขวด ฉะนั้นเท่ากับว่า 1 สัปดาห์ เราจะต้องน้ำดื่มทั้งหมด 7 ขวดใหญ่ หรือเท่ากับ 365 ขวด / ปี เลยทีเดียว
ส่วนเรื่องราคาน้ำขวด เราจะขออ้างอิงจากราคาน้ำดื่มทั่วไป ที่มีราคาแพ็คแบบ 1.5 ลิตร ที่ 50-55 บาท ต่อแพ็ค ซึ่งใน 1 เดือน จะมี 30 – 31 วัน (ยกเว้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่มี 28 หรือ 29 วัน เท่านั้น) ก็จะเท่ากับว่าเราจะดื่มน้ำอย่างมากสุด เดือนละ 31 ขวด ซึ่งเท่ากับเดือนละ 6 แพ็ค สรุปแล้วก็จะเท่ากับว่ามีค่าใช้จ่ายสำหรับน้ำขวด เดือนละ 330 บาท คิดเป็นรายปี เท่ากับ 3,960 บาท เฉลี่ยเเล้ว ต่อปี เราต้องจ่ายค่าน้ำดื่มลิตรละ 7.50 บาท ต่อปีนั่นเอง
เครื่องกรองน้ำ
ทีนี้เรามาดูในฝั่งของเครื่องกรองน้ำกันบ้าง ซึ่งหากพิจารณาในส่วนของเครื่องกรองน้ำอย่างดี แบบได้มาตรฐานสากลมาก ๆ จะอยู่ที่ราคาประมาณ 2-3 หมื่นบาทขึ้นไป (แต่ถ้าระดับราคาย่อมเยาว์ที่มีจำหน่ายทั่วไปจะมีตั้งแต่ 1,000 – 6,000 บาท แต่คุณภาพอาจจะเพียงพอสำหรับเพียงใช้ไม่บ่อย และอาจจะต้องเน้นเปลี่ยนไส้กรองเป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แทนนั่นเอง) และสามารถกรองน้ำสำหรับดื่มได้มากถึง 5,000 ลิตร / ปี หรือเทียบเท่ากับน้ำขวด 1.5 ลิตร จำนวน 3,333 ขวด เลยทีเดียว เฉลี่ยแล้วลิตรละไม่ถึง 1 บาท โดยใน 1 – 2 ปี เพียงแค่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไส้กรองตั้งแต่หลักร้อยขึ้นไป (แต่สามารถใช้ได้บ่อยและเพียงพอมากกว่า 1 คน)
สรุปน้ำขวด VS เครื่องกรองน้ำ
ข้อดีของการดื่มน้ำขวด
- ไม่ต้องยุ่งยากเปลี่ยนไส้กรองทุกปี
- เหมาะสำหรับใช้ดื่มคนเดียว
- เหมาะกับคนที่ไม่ทำอาหารเอง หรือเข้าครัวไม่บ่อย
- ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนสำหรับการซื้อเครื่องกรองน้ำ
ข้อดีของเครื่องกรองน้ำ
- ลงทุนซื้อและติดตั้งเครื่องกรองน้ำเพียงครั้งเดียว
- ใช้ได้นานและใช้ได้หลายคนทั้งครอบครัว
- มีความสะอาดและปลอดภัย
- สามารถลดขยะจากการใช้พลาสติกได้
การบริโภคน้ำขวดจะเหมาะสำหรับผู้ที่อยู่อาศัยเพียงคนเดียว และไม่มีต้นทุนสำหรับการซื้อเครื่องกรองน้ำที่มากพอ แต่ก็ไม่ต้องคอยเปลี่ยนไส้กรองหรือดูแลเครื่องกรองเป็นประจำ ส่วนเครื่องกรองน้ำนั้นจะเหมาะกับการใช้งานทั้งครอบครัว และการใช้งานบ่อย ๆ ทั้งใช้ดื่มและประกอบอาหารมากกว่า
(ROI)
การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ระหว่างการซื้อเครื่องกรองน้ำกับการซื้อน้ำขวดดื่ม มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา เช่น ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ค่าบำรุงรักษา และระยะเวลาการใช้งานของเครื่องกรองน้ำ รวมถึงปริมาณน้ำที่ดื่มต่อเดือน มาดูกันว่าปัจจัยเหล่านี้เปรียบเทียบกันอย่างไร:
1. ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น:
- เครื่องกรองน้ำ: มีต้นทุนเริ่มต้นสูงสำหรับการซื้อเครื่องและติดตั้ง รวมถึงการเปลี่ยนไส้กรองตามรอบระยะเวลา (โดยปกติจะเปลี่ยนทุก 6-12 เดือน) ราคาประมาณ 2,000-10,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพและรุ่น
- ซื้อน้ำขวด: ค่าใช้จ่ายต่อขวดอยู่ที่ประมาณ 7-20 บาท ขึ้นอยู่กับแบรนด์และขนาด หากคุณดื่มน้ำมากต่อวัน ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือน
2. ค่าบำรุงรักษา:
- เครื่องกรองน้ำ: มีค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาไส้กรองและการตรวจสอบระบบอยู่ประมาณ 500-2,000 บาทต่อปี
- ซื้อน้ำขวด: ไม่มีค่าบำรุงรักษา แต่มีค่าใช้จ่ายสะสมที่สูงขึ้นเมื่อใช้นาน
3. ปริมาณการใช้น้ำ:
- หากคุณดื่มน้ำประมาณ 2 ลิตรต่อวัน คุณจะต้องซื้อน้ำขวดประมาณ 60 ลิตรต่อเดือน (ประมาณ 60-180 บาทต่อเดือน หรือ 720-2,160 บาทต่อปี)
- เครื่องกรองน้ำสามารถกรองน้ำได้ปริมาณมากกว่า ทำให้ประหยัดกว่ามากเมื่อใช้นาน
4. ความสะดวกสบาย:
- เครื่องกรองน้ำ: คุณสามารถดื่มน้ำได้ทันทีที่ต้องการโดยไม่ต้องออกไปซื้อน้ำ
- ซื้อน้ำขวด: อาจต้องเสียเวลาไปซื้อน้ำบ่อย ๆ และยังต้องหาที่เก็บน้ำขวด
5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม:
- เครื่องกรองน้ำ: ลดปริมาณการใช้น้ำขวดพลาสติกซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม
- ซื้อน้ำขวด: การใช้พลาสติกเพิ่มปริมาณขยะ และก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
การคำนวณ ROI เบื้องต้น:
- ถ้าซื้อเครื่องกรองน้ำราคา 5,000 บาท และมีค่าบำรุงรักษา 1,000 บาทต่อปี การใช้งาน 5 ปีจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 บาท
- ในขณะที่ซื้อน้ำขวดดื่มเดือนละ 150 บาท จะเสียค่าใช้จ่าย 9,000 บาทใน 5 ปี
สรุป: หากใช้นานกว่า 2-3 ปี การซื้อเครื่องกรองน้ำจะคุ้มค่ากว่า เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง แต่ต้นทุนระยะยาวถูกกว่ามากและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการซื้อน้ำขวด