ปัจจัยหลักที่ทำให้น้ำบาดาลมีกลิ่น
สามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะของแหล่งที่มาและสารปนเปื้อนในน้ำ ดังนี้:
1. ก๊าซและสารเคมีในน้ำ
2. แร่ธาตุในน้ำบาดาล
-
เหล็กและแมงกานีส
- พบในน้ำบาดาลที่มีปริมาณแร่ธาตุสูง ทำให้เกิดกลิ่นโลหะหรือกลิ่นเหม็นสนิม
- มักพบในพื้นที่ที่ดินมีแร่เหล็กธรรมชาติ
-
กำมะถัน (Sulfur)
- มาจากแร่กำมะถันในชั้นดินและหิน ทำให้มีกลิ่นฉุนหรือเหม็นกำมะถัน
3. การปนเปื้อนของจุลินทรีย์
4. การปนเปื้อนจากแหล่งภายนอก
-
สารเคมีทางการเกษตร
- ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง หรือสารกำจัดวัชพืชที่ซึมลงในชั้นดินและเข้าสู่น้ำบาดาล
- ทำให้น้ำมีกลิ่นเคมีหรือกลิ่นแปลกๆ
-
ของเสียจากอุตสาหกรรม
- น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนลงสู่ชั้นน้ำบาดาล
- ทำให้เกิดกลิ่นสารเคมีหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์อื่นๆ
5. การสะสมของตะกอนและสารอินทรีย์
6. สภาพแวดล้อมของชั้นดินและหิน
ปัจจัยเสริม
- การใช้น้ำบาดาลเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการบำรุงรักษาบ่อหรือระบบกรอง
- การปนเปื้อนของระบบท่อส่งน้ำที่ไม่ได้ทำความสะอาด
ขั้นตอนแก้ปัญหาน้ำบาดาลมีกลิ่นอย่างละเอียด
1. วิเคราะห์สาเหตุของกลิ่น
ก่อนแก้ไขปัญหา ควรทราบว่าสาเหตุของกลิ่นมาจากอะไร ซึ่งสามารถแยกประเภทของกลิ่นได้ดังนี้:
- กลิ่นไข่เน่า: เกิดจากก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S) ที่มาจากแบคทีเรียในดินหรือกระบวนการย่อยสลายอินทรีย์สาร
- กลิ่นดินหรือเหม็นอับ: มาจากอินทรีย์สารหรือแบคทีเรีย เช่น สาหร่ายหรือจุลินทรีย์
- กลิ่นคลอรีนหรือสารเคมี: เกิดจากการปนเปื้อนของสารเคมีในน้ำ เช่น ยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ย
- กลิ่นโลหะ: เกิดจากแร่ธาตุในน้ำ เช่น เหล็กหรือแมงกานีส
วิธีตรวจสอบเบื้องต้น:
- ตรวจกลิ่นด้วยตัวเอง: เปิดน้ำแล้วดมกลิ่นทันทีเพื่อดูว่ามีกลิ่นแบบใด
- วิเคราะห์แหล่งน้ำ: ตรวจสอบว่าน้ำมาจากพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีหรือแหล่งอุตสาหกรรมหรือไม่
- นำตัวอย่างน้ำไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ: เพื่อดูค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) และสารปนเปื้อน เช่น ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ เหล็ก แมงกานีส หรือแบคทีเรีย
2. วิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
2.1 ระบายอากาศ (Aeration)
การปล่อยน้ำให้สัมผัสอากาศช่วยกำจัดก๊าซที่มีกลิ่น เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์:
- ต่อท่อน้ำผ่านหัวพ่น (Spray Nozzle) เพื่อให้เกิดการฟุ้งกระจาย
- เก็บน้ำในถังเปิด (Open Tank) แล้วใช้อุปกรณ์เติมอากาศ (Air Blower) ช่วยเพิ่มการถ่ายเท
2.2 เติมคลอรีนหรือโอโซน
- เติม คลอรีน ในน้ำเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและออกซิไดซ์สารเคมีที่ทำให้เกิดกลิ่น
- ใช้ โอโซน (O₃) แทนคลอรีนหากต้องการลดสารตกค้างในน้ำ
2.3 ล้างบ่อหรือระบบน้ำ
- หากน้ำมีกลิ่นเนื่องจากการสะสมของตะกอนหรือแบคทีเรีย ควรล้างบ่อบาดาลหรือล้างระบบท่อด้วยน้ำสะอาดผสมคลอรีน
3. ติดตั้งระบบกรองน้ำ
ระบบกรองที่เหมาะสมจะช่วยขจัดกลิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกใช้อุปกรณ์ดังนี้:
3.1 ถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon Filter)
- เหมาะสำหรับกรองสารอินทรีย์ ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ และลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
- ติดตั้งไว้ในระบบกรองน้ำดื่มหรือระบบกรองหลักของบ้าน
3.2 เครื่องกรองเรซิน (Ion Exchange Filter)
- ใช้ลดเหล็กและแมงกานีสที่อาจเป็นสาเหตุของกลิ่นโลหะ
- สามารถติดตั้งหลังจากระบบกรองเบื้องต้น
3.3 ระบบกรอง RO (Reverse Osmosis)
- เหมาะสำหรับน้ำที่มีสารปนเปื้อนสูง เช่น สารเคมี แร่ธาตุ หรือแบคทีเรีย
- สามารถกรองน้ำให้สะอาดพร้อมดื่มได้
3.4 แสง UV (UV Sterilizer)
- ใช้สำหรับฆ่าเชื้อโรค เช่น แบคทีเรียและไวรัสในน้ำบาดาล
- เหมาะสำหรับน้ำที่มีการปนเปื้อนจุลินทรีย์สูง
4. ตรวจสอบคุณภาพน้ำหลังการกรอง
หลังจากติดตั้งระบบกรองหรือแก้ไขแล้ว ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อให้มั่นใจว่าน้ำสะอาดและปลอดภัย:
- ใช้ ชุดทดสอบคุณภาพน้ำ ที่มีจำหน่ายทั่วไปเพื่อวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง ความกระด้าง และสารตกค้าง
- ส่งตัวอย่างน้ำไปตรวจในห้องปฏิบัติการทุก 6-12 เดือน เพื่อประเมินความเหมาะสมของระบบกรองที่ใช้งานอยู่
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หากแก้ไขเบื้องต้นแล้วยังไม่ได้ผล ควรติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านระบบน้ำ เช่น:
- บริษัทติดตั้งระบบกรองน้ำ
- วิศวกรแหล่งน้ำ
- หรือหน่วยงานที่ให้บริการวิเคราะห์คุณภาพน้ำ เช่น กรมทรัพยากรน้ำบาดาล