ไม่ต้องใช้พนักงานประจำ – ลูกค้าบริการตนเอง
ทำงานได้ 24 ชั่วโมง – สร้างรายได้ทั้งวันทั้งคืน
ต้นทุนคงที่หลังติดตั้ง – มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา แต่อยู่ในระดับควบคุมได้
สามารถตั้งในทำเลเล็กได้ – เช่น ลานจอดรถ หน้าร้าน ปั๊มน้ำมัน
ขยายธุรกิจง่าย – ถ้าทำได้ผลดีในทำเลแรก สามารถต่อยอดเพิ่มสาขาได้
ทำเลคือหัวใจหลัก
- ใกล้แหล่งชุมชน / หอพัก / คอนโด / หมู่บ้าน / ปั๊ม / ถนนใหญ่
- มีที่จอดรถและทางเข้า-ออกสะดวก
การแข่งขัน
- มีร้านล้างรถใกล้เคียงไหม? มีตู้ล้างรถอยู่ก่อนแล้วหรือไม่?
ต้นทุนเริ่มต้น
- เครื่องล้างรถ (แบบแรงดันน้ำ, พ่นโฟม ฯลฯ) ราคาประมาณ 50,000–300,000 บาท
- ค่าก่อสร้างพื้นที่ (หลังคา, ทางระบายน้ำ, พื้นคอนกรีต) 50,000–150,000 บาท
- ระบบหยอดเหรียญ / ควบคุมอัตโนมัติ 10,000–30,000 บาท
ค่าน้ำ / ค่าไฟฟ้า
- ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้งานและอัตราของการประปาและไฟฟ้าในพื้นที่
การดูแลบำรุงรักษา
- ต้องตรวจสอบเครื่องให้พร้อมใช้งานเสมอ
- ทำความสะอาดหัวพ่น / ท่อน้ำ / กล่องหยอดเหรียญ
ค่าบริการเฉลี่ย: 20–40 บาท ต่อรอบ (5–10 นาที)
หากมีลูกค้า 20 คัน/วัน (เฉลี่ย) = รายได้ 400–800 บาท/วัน
รายได้ต่อเดือน ≈ 12,000 – 24,000 บาท (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย)
คืนทุนได้ภายใน 1–2 ปี ขึ้นกับทำเลและการดูแล
เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง
ระบบหยอดเหรียญ / ตั้งเวลา
เครื่องพ่นโฟม / น้ำยาเคลือบ
หลังคากันแดด/ฝน
เครื่องกรองน้ำ / ระบบระบายน้ำ
กล้องวงจรปิด (เพื่อความปลอดภัย)
ใช้กันทั่วไปเพราะสะดวกและได้มาตรฐาน
ควรตรวจสอบค่าคลอรีนตกค้าง หากสูงเกินอาจส่งผลต่อสีรถ
ต้องวิเคราะห์คุณภาพก่อนใช้งาน
อาจมี ตะกอน, หินปูน, สนิมเหล็ก, pH ไม่เหมาะสม
ต้อง กรอง หรือ ปรับสภาพน้ำ ก่อนใช้
เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำที่ใช้ล้างรถไม่ก่อให้เกิดคราบ, การกัดกร่อน, หรือความเสียหายต่อรถของลูกค้า ควรตรวจวัดค่าดังนี้:
รายการ | ค่ามาตรฐานโดยประมาณ | ความสำคัญ |
---|---|---|
pH | 6.5 – 8.5 | ป้องกันการกัดกร่อนหรือคราบด่าง |
ความกระด้าง (Hardness) | < 100 ppm | ถ้าเกินทำให้เกิดคราบหินปูน |
TDS (สารละลายรวม) | < 500 ppm | ค่าเกลือรวม ถ้าสูงอาจทำให้เกิดคราบ |
เหล็ก (Iron) | < 0.3 ppm | ถ้ามากทำให้น้ำเป็นสีสนิม ทิ้งคราบบนรถ |
ความขุ่น (Turbidity) | ต่ำ | น้ำใส ไม่มีตะกอนลอย |
คลอรีนตกค้าง | < 0.5 ppm | มากเกินไปอาจกัดสีรถ |
หากคุณใช้ น้ำบาดาล ควรส่งตัวอย่างน้ำไปตรวจที่กรมทรัพยากรน้ำ หรือศูนย์วิทยาศาสตร์บริการใกล้บ้าน
โดยทั่วไป:
เครื่องล้างรถแบบฉีดน้ำด้วยตัวเอง ใช้น้ำประมาณ 60 – 100 ลิตร/คัน
ถ้าวันละ 20 คัน จะใช้น้ำวันละ ≈ 1,200 – 2,000 ลิตร
หากใช้น้ำประปาในเขตเทศบาล (อัตราค่าน้ำ ≈ 10 บาท/ลบ.ม.)
ใช้ 2,000 ลิตร/วัน = 2 ลบ.ม. → ค่าใช้น้ำ ≈ 20 บาท/วัน, หรือประมาณ 600 บาท/เดือน
ติดตั้งหัวฉีดแรงดันสูงคุณภาพดี → ใช้น้ำน้อยแต่แรงพอ
ใช้น้ำหมุนเวียน (Recycle): ถ้ามีระบบกรอง/ตกตะกอน สามารถนำน้ำกลับมาใช้บางส่วนได้
กรองน้ำก่อนใช้ → ช่วยลดคราบและยืดอายุเครื่อง
การวิเคราะห์น้ำควรทำ ก่อนเริ่มธุรกิจ และ อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อมั่นใจในคุณภาพ และลดปัญหาในระยะยาว เช่น:
ป้องกันคราบบนรถ → เพิ่มความพึงพอใจ
ลดความเสียหายต่ออุปกรณ์จากตะกรัน / สนิม
ลดค่าใช้จ่ายระยะยาวในการบำรุงรักษา
ล้างรถ 1 คัน ใช้น้ำประมาณ 60–100 ลิตร
หากมีรถมาใช้บริการวันละ 20 คัน → ต้องการน้ำประมาณ 1,200 – 2,000 ลิตร/วัน
แนะนำเผื่อไว้เล็กน้อยเพื่อความต่อเนื่อง → ควรเลือกเครื่องกรองที่รองรับ 2,500 – 3,000 ลิตร/วัน
คุณภาพน้ำโดยทั่วไปดีอยู่แล้ว แค่ต้องการกรองสิ่งสกปรกและคลอรีน
ระบบที่แนะนำ:
เครื่องกรองน้ำแบบ 3-5 ขั้นตอน (Sediment + Carbon block + Resin/Softener)
ขนาด: ระบบกรองขนาดกลาง 300 – 500 ลิตร/ชม. (≒ 7,000 – 12,000 ลิตร/วัน)
ราคา: เริ่มต้นประมาณ 10,000 – 25,000 บาท
ต้องจัดการกับหินปูน, สนิม, ตะกอน, กลิ่น ฯลฯ
ระบบที่แนะนำ:
ระบบกรองหลายชั้น เช่น:
ไส้กรองตะกอน (Sand / Sediment)
ไส้กรองคาร์บอน (Carbon) → กำจัดกลิ่น / สี
เรซิ่น (Resin) หรือ Softener → กำจัดความกระด้าง
อาจเพิ่ม UV หรือ RO ถ้าต้องการความสะอาดสูง
ขนาด: 500 – 1,000 ลิตร/ชม. (เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่อง)
ราคา: 25,000 – 80,000 บาท (ขึ้นกับระบบ)
ประเภท | เหมาะสำหรับ | ปริมาณ | ราคาโดยประมาณ |
---|---|---|---|
ถังกรองไฟเบอร์ + คาร์บอน | น้ำประปา | 500 ลิตร/ชม. | 10,000 – 15,000 บาท |
ถังกรอง 3 ใบ (ทราย, คาร์บอน, เรซิ่น) | น้ำบาดาล | 1,000 ลิตร/ชม. | 25,000 – 40,000 บาท |
เครื่องกรอง RO อุตสาหกรรม | ต้องการน้ำสะอาดสูง | 1,000 ลิตร/ชม. | 60,000 – 100,000 บาท |
ควรติดตั้งแท็งก์เก็บน้ำสำรอง หลังเครื่องกรอง 1,000–2,000 ลิตร เพื่อให้พร้อมใช้งานเสมอ
ตรวจสอบและล้าง/เปลี่ยนไส้กรองตามกำหนด (ทุก 6 เดือน – 1 ปี)
หลีกเลี่ยงระบบ RO ถ้าไม่จำเป็น เพราะสิ้นเปลืองน้ำและค่าใช้จ่ายสูง
ถ้าใช้น้ำบาดาล ให้วิเคราะห์น้ำก่อน แล้วเลือกเครื่องกรองตามสภาพจริง
ใช้บริการวันละ 20 คัน
ใช้น้ำเฉลี่ยคันละ 100 ลิตร = 2,000 ลิตร/วัน
น้ำที่ใช้: น้ำบาดาล หรือ น้ำประปาไม่สะอาดนัก
คุณต้องการ ซื้อเครื่องกรองน้ำ เพื่อให้มีระบบน้ำสะอาดก่อนส่งเข้าสู่ระบบล้างรถ
รายการ | รายละเอียด | งบโดยประมาณ |
---|---|---|
เครื่องกรองน้ำ | ถังกรอง 3 ชุด: ทราย + คาร์บอน + เรซิ่น รองรับ ~1,000 ลิตร/ชม. |
25,000 – 40,000 บาท |
แท็งก์เก็บน้ำสำรอง | 2,000 ลิตร (สำรอง 1 วัน) | 3,000 – 6,000 บาท |
ระบบปั๊มน้ำ + Pressure Tank | ดึงน้ำจากถังกรองไปยังหัวฉีดแรงดัน | 5,000 – 10,000 บาท |
อุปกรณ์ท่อ + วาล์ว + โครงสร้างติดตั้ง | ท่อ PVC, โครงปูนหรือเหล็ก | 3,000 – 8,000 บาท |
ค่าติดตั้ง (ถ้ามีช่าง) | ขึ้นอยู่กับพื้นที่ | 3,000 – 10,000 บาท |
💰 รวมงบระบบน้ำทั้งชุด ≈ 39,000 – 74,000 บาท
ถ้าใช้น้ำบาดาล → ควรวิเคราะห์คุณภาพน้ำ
ถ้าใช้น้ำประปา → ดูค่า TDS / ความกระด้าง / กลิ่น
หากมีตะกอนมาก → เพิ่มถังกรองทราย
หากน้ำกระด้าง → ต้องมีถังเรซิ่นหรือ Softener
พื้นคอนกรีตกันน้ำซึม
มีหลังคาหรือร่มเงาป้องกันแดดฝน
แยกระบบน้ำสะอาดเข้าเครื่องล้างรถ
แยกระบบน้ำล้างทิ้ง → ไปยังท่อระบายน้ำหรือระบบบำบัด
รายการ | ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ |
---|---|
ค่าน้ำ | 500 – 1,000 บาท |
ค่าไฟ (ปั๊ม + เครื่อง) | 300 – 800 บาท |
บำรุงรักษา (เปลี่ยนไส้กรอง) | 300 – 500 บาท/เดือน |
รวมโดยประมาณ | 1,100 – 2,300 บาท/เดือน |
ค่าบริการล้าง: 20–40 บาท/คัน
ลูกค้า 20 คัน/วัน = 400–800 บาท/วัน
รายได้ต่อเดือน ≈ 12,000 – 24,000 บาท
จุดคุ้มทุนระบบน้ำ ≈ 3–5 เดือน
ลงทุนระบบกรองน้ำ + ถังเก็บ ≈ 40,000 – 75,000 บาท
รองรับการใช้งาน ~2,000 ลิตร/วัน
ช่วยให้ล้างรถได้สะอาด ป้องกันคราบ และยืดอายุอุปกรณ์
เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า และลดปัญหาในระยะยาว