1. การสกัดรสชาติ (Extraction)
- ค่า TDS ที่เหมาะสมจะช่วยให้การสกัดกาแฟเกิดขึ้นอย่างสมดุล น้ำที่มีค่า TDS ต่ำเกินไป (น้ำบริสุทธิ์มากเกินไป เช่น น้ำกลั่น) จะทำให้การสกัดกาแฟไม่เต็มที่ รสชาติที่ได้อาจจะบางหรือจืดเกินไป
- ในทางกลับกัน น้ำที่มีค่า TDS สูงเกินไป (มีแร่ธาตุหรือสารละลายอื่นๆ อยู่มากเกินไป) อาจทำให้การสกัดกาแฟเกิดขึ้นมากเกินไป ส่งผลให้กาแฟมีรสขม รุนแรง หรือฝาดเกินไป
2. การส่งผลต่อรสชาติและกลิ่น (Taste and Aroma)
- ค่า TDS ที่เหมาะสมจะช่วยเสริมรสชาติและกลิ่นของกาแฟให้เด่นชัดขึ้น โดยค่า TDS ที่สูงในระดับปานกลางจะช่วยดึงรสชาติที่ซับซ้อนออกมา เช่น ความหวาน ความเปรี้ยว หรือรสผลไม้
- การมีแร่ธาตุในระดับที่เหมาะสม (เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม) ช่วยเสริมให้เกิดรสชาติที่สดใสและมีมิติ แต่หากมีมากเกินไปอาจทำให้เกิดรสฝาดได้
3. ความสมดุลของรสชาติ (Balance)
- น้ำที่มีค่า TDS ที่สมดุล (ประมาณ 75-250 ppm ขึ้นอยู่กับประเภทของกาแฟและวิธีการชง) จะช่วยให้กาแฟมีรสชาติดี โดยที่กรด ขม และหวานถูกสกัดออกมาในอัตราที่เหมาะสม
- การใช้ค่า TDS ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดรสชาติที่ไม่สมดุล เช่น กาแฟอาจมีรสขมอย่างเดียว หรือเปรี้ยวอย่างเดียว โดยที่ไม่มีรสชาติอื่นมาเสริม
4. ความหนาของเนื้อกาแฟ (Body)
- ค่า TDS ของน้ำยังส่งผลต่อความหนาของเนื้อกาแฟ น้ำที่มีค่า TDS สูงอาจทำให้กาแฟมีความหนาแน่นและหนักมากขึ้น ในขณะที่น้ำที่มีค่า TDS ต่ำจะทำให้กาแฟมีความเบาและบางลง
สรุป:
การควบคุมค่า TDS ของน้ำที่ใช้ชงกาแฟมีความสำคัญมาก เพราะจะส่งผลต่อกระบวนการสกัดรสชาติ ความสมดุล และคุณภาพโดยรวมของกาแฟ ค่าที่เหมาะสมจะช่วยให้กาแฟมีรสชาติดีและดึงเอาคุณสมบัติที่ดีที่สุดของเมล็ดกาแฟออกมาได้เต็มที